ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 2019-2020 รอบชิงชนะเลิศ เป็นการพบกันระหว่าง ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ดวลกับ บาเยิร์น มิวนิค
โดยแข่งขันกันที่สนาม เอสตาดิโอ ดา ลุซ กรุงลิสบอน ประเทศโปรตุเกส โธมัส ทูเคิล กุนซือของเปแอสเช เลือกจัดทัพมาในระบบ 4-3-3 ด้วยการใช้สามประสานแนวรุกในแดนหน้าเป็น อังเคล ดิ มาเรีย, คีลิยัน เอ็มบัปเป้ และ เนย์มาร์
ด้านเสือใต้ของ ฮันซี ฟลิค วางหมากมาในแผน 4-2-3-1 ใช้หน้าเป้า โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ ทำเกมรุกร่วมกับ คิงส์ลีย์ โกมาน, โธมัส มุลเลอร์ และ แซร์ช กนาบรี้
เริ่มเกมไปได้ 25 นาที ฝั่งของบาเยิร์นกลับต้องมาเสียแนวรับจอมเก๋าอย่าง เยโรม บัวเต็ง ซึ่งบาดเจ็บจนฝืนเล่นต่อไม่ไหว ทำให้เปลี่ยนตัวสำรองคนแรกด้วยการส่ง นิคลาส ซูเล ลงมาแทน
จากนั้นแม้ว่าทั้งสองทีมจะสู้กันได้สูสี และมีลุ้นส่องประตูกันอยู่หลายครั้งด้วยกันทั้งคู่ แต่ก็ยังไม่มีฝ่ายใดเฉียบคมพอที่จะขึ้นนำได้เลย ทำให้จบ 45 นาทีแรกไปด้วยสกอร์ที่ยังเสมอกันอยู่ 0-0
ครึ่งหลังกลายเป็นเสือใต้มาได้ประตูขึ้นนำ ในนาทีที่ 59 จากจังหวะที่ โยชัว คิมมิช เปิดบอลทางกราบขวาเข้าเขตโทษลึกไปเสาไกลให้ คิงส์ลีย์ โกมาน โหม่งตุงตาข่าย ส่งให้ทีมจากเยอรมันออกนำ 1-0
จากนั้นแม้ว่าเปแอสเชจะพยายามหาโอกาสบุกหนักเพื่อหวังตีเสมอ แต่ก็ไม่เด็ดขาดที่จะทำประตูได้เลย ทำให้สุดท้ายจบเกมเป็นบาเยิร์น มิวนิคชนะไป 1-0 ผงาดคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก สมัยที่ 6 พร้อมครองได้ถึงสามแชมป์ หรือว่านั่นคือการผงาดครองเทรเบิ้ลแชมป์ได้ในฤดูกาลนี้อีกด้วย
เปแอสเช อยู่ในสภาพทีมที่ค่อนข้างพร้อมเหลือแค่รอเช็คความฟิตของ เคย์เลอร์ นาบาส รายเดียวเท่านั้น แนวรับใช้ ติอาโก้ ซิลวา จับคู่กับ เพนสเนล คิมเพมเบ้ แดนกลางข่าวดีคือจะได้ มาร์โก แวร์รัตติ ฟิตกลับมาประสานงานกับ มาร์ควินฮอส และ อันเดอร์ เอร์เรรา ได้อีกครั้ง ขณะที่แนวรุกเป็นสามประสาน คิลิยัน เอ็มบัปเป้, อังเคล ดิ มาเรีย และ เนย์มาร์
บาเยิร์น ก็อยู่มนสภาพค่อนข้างพร้อมเช่นกัน เหลือเพียงรอเช็คความฟิตของ เฌอโรม บัวเต็ง รายเดียวเท่านั้น แนวรับคาดว่าจะใช้ นิคลาส ซูเล จับคู่กับ ดาบิด อลาบา แดนกลางใช้ ติอาโก้ อัลคันทารา ประสานงานกับ เลออน โกเร็ตซ์ก้า แนวรุกใช้ อิวาน เปริซิช, แซร์จ นาบรี้ และ โธมัส มุลเลอร์ คอยปั้นเกมรุกอยู่ด้านหลัง โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้
เผยทีมที่ได้ประโยชน์จากการตัดสินของวีเออาร์มากที่สุดในพรีเมียร์ลีก อังกฤษฤดูกาลนี้ นั่นก็คือ ไบรท์ตัน ด้วยจำนวน 5 ครั้ง ส่วนทีมที่ได้ประโยชน์น้อยสุดคือ วูล์ฟแฮมป์ตัน และเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ด้วยจำนวนติดลบ 6 ครั้ง
สำหรับเทคโนโลยีวีเออาร์ หรือเทคโนโลยีช่วยตัดสิน นำมาใช้ในพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ฤดูกาลนี้เป็นซีซั่นแรก ทว่ากลับถูกวิจารณ์เป็นอย่างมากเรื่องทั้งเรื่องของความไม่ชัดเจน รวมไปถึงทำลายจังหวะฟุตบอล
โดยล่าสุด “อีเอสพีเอ็น” สื่อดังของสหรัฐอเมริกาได้เปิดเผยทีมที่ได้ประโยชน์จากวีเออาร์มากที่สุดหลังจากหักลบกันแล้ว ซึ่งผลปรากฏว่า ไบรท์ตัน คือสโมสรที่ได้ประโยชน์มากสุดด้วยจำนวน 5 ครั้ง ตามด้วย เซาธ์แฮมป์ตัน อันดับ 2 ที่ 4 ครั้ง และอันดับ 3 คือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ 3 ครั้ง
ขณะที่อันดับ 4 มีร่วมกัน 3 ทีม คือ บอร์นมัธ, เลสเตอร์ ซิตี้ และลิเวอร์พูล ด้วยจำนวน 2 ครั้ง ด้านทีมที่ได้ประโยชน์จากวีเออาร์น้อยที่สุดมีร่วมกัน 2 ทีม คือ วูล์ฟแฮมป์ตัน และเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ที่จำนวนติดลบ 6 ครั้ง
สก็อตต์ แม็คโทมิเนย์ กองกลางดาวรุ่งแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กล่าวว่าเหล่าผู้เล่นอายุน้อย ภายในทีมต่างมีความกระหายที่ต้องการคว้าชัยชนะ
11 ตัวจริงของขุมกำลัง “ปีศาจแดง” ชุดที่เอาชนะเชลซี 4-0 ในเกมนัดเปิดสนาม มีค่าเฉลี่ยอายุอยู่ที่ 24 ปี 227 ถือว่าน้อยที่สุดในบรรดา 20 ทีมที่ลงเล่นในสัปดาห์แรกของพรีเมียร์ ลีก “ประสบการณ์เป็นเรื่องสำคัญ แต่ผู้เล่นอายุน้อยมีความกระหาย” แม็คโทมิเนย์กล่าว “การที่ใครสักคนลงเล่นมากกว่า ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะนำหน้าคุณ”
แม็คโทมิเนย์ที่ปัจจุบันอายุ 22 ปี เป็น 1 ใน 6 ผู้เล่นที่ได้ออกสตาร์ทและมีอายุน้อยกว่า 25 ปี โดยดาบิด เด เกอาในวัย 28 กะรัต คือแข้งซีเนียร์ที่สุดจาก 11 ตัวจริง
“ทีมของเราไม่มีตัวจริง และไม่มีการการันตีว่าจะได้ลงเล่นทุก ๆ นัด นั่นเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงความแข็งแกร่งในห้องแต่งตัว
“อายุเป็นเพียงแค่ตัวเลข เมื่อคุณเห็นนักเตะอย่าง คีเลียน เอ็มบ๊าปเป้ และมาร์คัส แรชฟอร์ด ลงสนามในวัยที่น้อยมาก ๆ และโชว์ผลงานได้อย่างวิเศษ เราต้องยกเครดิตให้พวกเขานะ พวกเขาแค่ลงไปเล่นเท่านั้นเอง”
ท่านสามารถอ่านข่าวสารต่อได้ที่ newjerseyclinicaltrials.com
เว็บพนันออนไลน์ที่ร่วมสนุกได้ตลอด 24 ชม. UFA369